วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ขนมหวานขึ้นชื่อของแต่ละประเทศ

     กล่าวกันว่าขนมหวานเป็นสิ่งที่สามารถสะท้อนเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมของชนชาติต่างๆได้เป็นอย่างดี  เพราะในการทำขนมหวานในแต่ละท้องที่นั้นจะไม่เหมือนกันทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบ และกรรมวิธีการทำที่แตกต่างกันไป ซึ่งความแตกต่างเหล่านั้นเอง  ที่ทำให้ปัจจุบันมีขนมหวานจากทั่วโลกมากมายพันชนิด และแต่ละปนะเทศก็จะมีขนมหวานที่เป็นที่นิยมอยู่ด้วย ลองไปดูกันดีกว่าว่า  ขนมหวานขึ้นชื่อเหล่านั้นมีอะไรบ้าง....

1.แบล็คฟอเรสท์เค้ก

ด้วยความมีชื่อเสียงในเรื่องชนิทเซล เบียร์ และเค้กรสชาติอร่อยมากมาย จึงไม่น่าแปลกใจที่เยอรมนีจะกลายเป็นสถานที่ดื่ม-กินยอดนิยมของเรา โดยเจ้าช็อกโกแลตเค้กที่ทับซ้อนหลายชั้นด้วยครีม เชอร์รี่ และบรั่นดีผลไม้นี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงต้นยุค 1900 ทางตอนใต้ของ เยอรมนี (ภายหลังได้รับการปรุงแต่งให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยฝีมือของช่างทำเค้กในกรุงเบอร์ลิน) และทุกวันนี้เป็นทื่ชื่นชอบของคนทั่วโลก ซึ่งแน่นอนว่า นี่ก็เป็นหนึ่งในของโปรดของเราเช่นกัน

2.ฮาโล ฮาโล ( Halo Halo)


จานเด็ดของชาวฟิลิปปินส์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้ไข่บาลุท แต่รับประกันได้ว่าไม่น่าสะอิดสะเอียน ทั้งนี้ ฮาโล ฮาโล ไม่มีสูตรการทำที่แน่นอน แต่ดูๆ ไปก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำแข็งใสของบ้านเรา โดยนำน้ำแข็งบดมาเติมด้วยเครื่องเคียง เช่น ถั่วเขียว ลูกตาล ขนุน มะพร้าวอ่อน ไอศกรีม วุ้นมะพร้าว สับปะรด และอื่นๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยการราดนมข้นหวานและน้ำเชื่อม โดยสามารถหารับประทานได้ทุกที่ในกรุงมะนิลา

3.ทีรามิสุ

เค้กชื่อดังของอิตาลีทำขึ้นจากเลดี้ฟิงเกอร์ราดเอสเปรสโซ่ สอดไส้ด้วยมาสคาร์โปนชีสและซาบากลิ
ออเน ลือกันว่าทีรามิสุมีจุดกำเนิดมาจากการที่แม่บ้านของทหารในสงครามโลกครั้งที่สองทำเค้กให้สามีรับประทาน โดยเชื่อว่าส่วนผสมของคาเฟอีนกับน้ำตาลจะช่วยให้พวกเขามีพลังและแคล้วคลาดจากอันตราย ช่างโรแมนติคเสียนี่กะไร เหมาะจะเป็นของหวานรับวันวาเลนไทน์โดยแท้

4.ข้าวเหนียวมะม่วง


ขนมหวานแบบไทยๆ ที่นำมะม่วงสุกเหลืองอร่ามมาทานคู่กับข้าวเหนียวมูนราดด้วยน้ำกะทิ ฟังแล้วชวนน้ำลายสอเป็นอย่างยิ่ง โดยได้รับความนิยมจากทั้งชาวสยามและชาวต่างชาติ ทั้งยังสามารถหาลิ้มลองได้ทั้งที่โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร และร้านอาหารตามท้องถนนทั่วไป

5.แครมบรูเล่ ( Cr è me Brulee)

แม้ชื่อจะฟังดูแล้วฝรั่งเศสสุดๆ แต่อย่าเพิ่งด่วนตัดสินว่าเป็นเช่นนั้น เนื่องจากวิทยาลัยทรินิตี้ในเคมบริดจ์ได้อ้างว่าพวกเขาคือต้นตำรับผู้คิดค้นขนมสูตรเด็ดนี้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 1600 อย่างไรก็ตาม ถึงจะมีจุดกำเนิดจากอังกฤษ แต่เชื่อแน่ว่าคงไม่มีสถานที่ใดเหมาะแก่การทานคัสตาร์ดเย็นๆ โรยด้วยน้ำตาลไหม้ ได้เท่ากับใต้หอไอเฟลที่ประดับด้วยไฟสว่างไสวในยามค่ำคืนในกรุงปารีส

6.แอปเปิล พาย

เช่นเคย แม้จะฟังดูเป็นอเมริกันจ๋า แต่จริงๆ แล้วมีต้นกำเนิดจากเมืองผู้ดี โดยได้รับการคิดค้นขึ้นเมื่อปี 1381 และปกติจะอบด้วยแป้งสองชั้น ในสมัยก่อน ตอนที่ชาวอังกฤษอพยพมาตั้งรกรากในอเมริกา พวกเขาได้นำเมล็ดแอปเปิลมาปลูกด้วย จึงทำให้มันมีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรมของชาวมะกัน แต่ไม่ว่าจะที่โรงแรมในลอนดอนหรือภัตตาคารในแอลเอ แอปเปิลพายก็เป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาลูกค้าเหมือนกัน

7.ไดฟุกุ

ขนมเจลลาตินทรงกลมจากแดนอาทิตย์อุทัยมักสอดไส้ไว้ด้วยถั่วแดงหวาน (และบางครั้งก็อาจเป็นแยมสตอเบอร์รี่) โรยด้วยแป้งบางๆ โดยสามารถหาซื้อมารับประทานได้ทั้งจากกรุงโตเกียว โอซาก้า เกียวโต นากาโนะ และทุกแห่งในญี่ปุ่น

8.นาไนโม บาร์ ( Nanaimo Bars)


แคนาดาขึ้นชื่อเรื่องขนมหวาน? ได้ยินแล้วไม่ต่างกับการพูดว่ากรุงเทพขึ้นชื่อเรื่องทะเลยังไงยังงั้น แต่กระนั้น ขนมรสเลิศดังกล่าวก็มีที่มาจากเกาะแวนคูเวอร์ในเมืองนาไนโม รัฐบริติชโคลัมเบีย โดยได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นจากฝีมือแม่บ้านท้องถิ่นซึ่งได้ส่งเจ้าขนมทรงจัตุรัสชิ้นนี้ไปประกวดในนิตยสารและคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้ ปัจจุบัน เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนในแถบอเมริกาเหนือ

9.กุหลับ จามาน ( Gulab Jamen)


ก้อนขนมปังหวานที่คงไม่ถูกปากฝรั่งตาน้ำข้าว แต่คอนเฟิร์มว่าอยู่ในรายชื่อขนมอันดับต้นๆ ของชาวอินเดีย และเมื่อมีคนกว่าพันล้านคนชื่นชอบ ก็ยากจะปฏิเสธได้ว่ามันไม่อร่อย ปกติแล้วมักทำขึ้นโดยใช้ครีมสองชั้นและราด้วยน้ำเชื่อมเข้มข้น เป็นที่นิยมในอินเดีย ปากีสถาน เนปาล และประเทศในแถบเอเชียใต้

10.บาคลาวา (Baklava)

ประวัติที่แท้จริงของบาคลาวายากที่จะระบุให้แน่ชัดเพราะว่ากันว่ามันมีต้นกำเนิดจากจักรวรรดิอ็อตโตมัน ดินแดนเมโสโปเตเมีย และอาหรับ โดยขนมหวานชนิดนี้ทำขึ้นจากการนำแป้งฟิลโลมาสอดไส้ไว้ด้วยถั่ว น้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อม หากต้องการลิ้มลองรสชาติแบบต้นตำรับก็ต้องไปรับประทานถึงถิ่นที่อ้างว่าเป็นจุดกำเนิด ทั้งกรุงอิสตันบูล กรุงเอเธนส์ และกรุงเบรุต แม้แต่ละที่อาจจะมีรสแตกต่างกันไปบ้าง แต่ก็ยังการันตีได้ถึงความเอร็ดอร่อย

ที่มา   http://atcloud.com/stories/65092#


วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อัปเดตรูปขนมหวาน จร๊า



อันนี้เอาไว้เป็นบล็อกเก็บรูปจร๊า!! ทั้งที่มีและไม่มี






















วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ช็อกโกแลต : Chocolate




 ที่มา http://www.lonleam.com/%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%88-chocolate-lava/

1.Chocolate Lava
ส่วนผสม Chocolate Lava
ดาร์กช็อกโกแลต 140 กรัม
เนยสดชนิดเค็ม 90 กรัม
ไข่ไก่ 4 ฟอง
น้ำตาลทราย 130 กรัม
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 70 กรัม
ลูกแพร์ในน้ำเชื่อม (หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า) 3 ลูก
วิธีทำChocolate Lava
1. ตุ๋นดาร์กช็อกโกแลตกับเนยสดบนน้ำร้อนจนละลาย ยกลงพักไว้ให้เย็น
2. ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ลงอ่างผสม เตรียมไว้
3. ตีไข่ไก่กับน้ำตาลทรายด้วยหัวตีตะกร้อ ใช้ความเร็วสูงตีจนขึ้นฟู ปิดเครื่อง
4. ค่อย ๆ นำส่วนผสมในข้อที่ 1 ลงผสมกับส่วนผสมในข้อที่ 3 ด้วยพายยาง ตะล่อมอย่างเบามือ พอเข้ากันเติมแป้งที่ร่อนไว้ ผสมจนเข้ากันดี
5. ตักส่วนผสมที่ได้ใส่พิมพ์ถ้วยที่ทาด้วยเนยขาว เคาะแป้งประมาณ 1/2 ของพิมพ์ แล้วใส่ลูกแพร์กดให้จมลงไปในส่วนผสม นำเข้าอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 12-18 นาที จึงนำออกจากเตาอบ แซะออกจากพิมพ์ จัดเสิร์ฟขณะร้อน
2.บราวนี่ชีสเค้กเนยถั่ว

ส่วนผสม
เนยสดชนิดเค็ม 300 กรัม
น้ำตาลทรายแดง 350 กรัม
น้ำตาลทราย 300 กรัม
ไข่ไก่ 4 ฟอง
กลิ่นวานิลลา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
นมสด 200 กรัม
แป้งสาลีอเนกประสงค์ 400 กรัม
ผงโกโก้ 80 กรัม
โซดาไบคาร์บอเนต 1 ช้อนชา
วิธีทำ
1. ร่อนแป้งสาลีอเนกประสงค์ ผงโกโก้และโซดาไบคาร์บอเนตเข้าด้วยกัน
2. ผสมเนยสด น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายจนเข้ากันด้วยหัวตีตะกร้อ โดยใช้ความเร็วปานกลาง เติมไข่ไก่ทีละฟอง กลิ่นวานิลลาและนมสด
3. เติมแป้งสาลีอเนกประสงค์ลงในส่วนผสมข้อที่ 2 ตะล่อมเบา ๆ จนเข้ากันดี เทลงถาดแล้วนำเข้าอบที่อุณหภูมิ 350 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 50 นาที หรือจนกระทั่งสุกเหลือง พักบนตะแกรงจนเย็นสนิท                                                                                                                               
ส่วนผสม 
ครีมชีส 250 กรัม
น้ำตาลไอซิ่ง 200 กรัม
วิปครีม 250 กรัม
เนยถั่ว 100-120 กรัม
ดาร์กช็อกโกแลตตุ๋นสำหรับราด 500 กรัม
วิธีทำ
1. ตีครีมชีสกับน้ำตาลไอซิ่งพอขึ้นฟูขาว ใส่เนยถั่วตีต่อจนเข้ากัน
2. ตีวิปครีมจนขึ้นฟูเนื้อเนียน นำไปผสมลงในส่วนผสมข้อที่ 1 พอเข้ากัน แล้วปากลงบนบราวนี่จนเรียบ ราดด้วยดาร์กช็อกโกแลตตุ๋น พักไว้ให้แข็งตัว ตัดเป็นชิ้น ตกแต่งด้วยสตรอว์เบอร์รี
3.Banana Chocolate Mousse Sliced
ส่วนผสม
  • กล้วยหอม     2 ลูก
  • น้ำตาลทราย 300    กรั,
  • น้ำเปล่า    80    กรัม
  • น้ำส้มซันควิก    100    กรัม
วิธีทำ
1. เคี่ยวน้ำตาลทรายกับน้ำเปล่าให้เป็นคาราเมล แล้วใส่กล้วยหอมลงเคลือบให้เหลืองสวย
2. นำน้ำส้มใส่ลงในส่วนผสมข้อที่ 1 ผสมพอเข้ากันให้กล้วยหอมมีกลิ่นหอมของน้ำส้ม แล้วจึงนำออกมาพักไว้ให้เย็นสนิท
 ส่วนผสม

วิปครีมชนิดจืด   130 กรัม
ดาร์กช็อกโกแลต 200    กรัม
เจลาตินชนิดแผ่น 3    แผ่น
ผิวส้มซันคิสขูด ½    ลูก
วิปปิ้งครีมชนิดจืด 290    กรัม
เหล้ารัม     10    กรัม
ดาร์กช็อกโกแลตตุ๋นสำหรับราดหน้า
ราสป์เบอร์รีสดและเรดเคอร์เรนต์สำหรับตกแต่ง
วิธีทำ
1.แช่เจลาตินลงในน้ำเย็นจัดจนแผ่นมีลักษณะนุ่ม เตรียมไว้
2.นำวิปครีมต้มพอเดือด จากนั้นผสมด้วยดาร์กช็อกโกแลต คนพอดาร์กช็อกโกแลตละลาย ใส่เจลาตินผสมพอเข้ากัน
3.ผสมวิปปิ้งครีมที่ตีพอตั้งยอดอ่อน ผิวส้มซันคิส และเหล้ารัมลงในส่วนผสมข้อที่ 2 คนจนส่วนผสมเข้ากันดี

*ขั้นตอนการทำ *
เตรียมพิมพ์สี่เหลี่ยมรองด้วยกระดาษไข
เทมูสใส่ลงในพิมพ์สูงประมาณ 1 เซนติเมตร
  1. จัดเรียงกล้วยใส่ลงบนมูส
  2. ตักมูสใส่ลงบนกล้วยหอมให้เต็มพิมพ์
  3. ปาดมูสให้เรียบแล้วนำเข้าตู้เย็นให้เซ็ตตัว
  4. นำขนมออกจากตู้เย็นแล้วนำจุ่มในน้ำอุ่น คว่ำออกจากพิมพ์
  5. ราดดาร์กช็อกโกแลตลงบนมูสแล้วนำเข้าตู้เย็นพอเซ็ตตัว
  6. พอช็อกโกแลตเซ็ตตัวให้ใช้มีดชุบน้ำอุ่นแล้วหั่นจะทำให้หั่นง่ายขึ้น ตกแต่งด้วยราสป์เบอร์รีและเรดเคอร์เรนต์
หมายเหตุ
วิปครีมคือส่วนผสมที่ยังไม่ได้ตีให้ขึ้นฟู
วิปปิ้งครีมคือครีมส่วนผสมที่ตีให้เกิดการขึ้นฟูแล้ว
4.ช็อกบอล

ส่วนผสม
 เนื้อเค้กรสช็อกโกแลต 250 กรัม
ดาร์กช็อกโกแลตตุ๋นจนละลาย 40 กรัม
ผงโกโก้ 3 ช้อนชา
อัลมอนด์อบสุกสับหยาบ 40 กรัม
เนยสดชนิดจืดละลาย 40 กรัม
ดาร์กช็อกโกแลตตุ๋นจนละลายสำหรับเคลือบ
วิธีทำ
1. ผสมเนื้อเค้กช็อกโกแลต เนยสดละลาย ผงโกโก้ และดาร์กช็อกโกแลตตุ๋นจนเป็นเนื้อเดียวกัน เติมอัลมอนด์ผสมพอเข้ากัน
2. นำส่วนผสมที่ได้ปั้นเป็นก้อนกลม แช่ในตู้เย็นจนแข็งตัว
3. นำช็อกบอลออกจากตู้เย็นชุบลงในดาร์กช็อกโกแลตตุ๋นหรือราดด้วยช็อกโกแลตตามภาพ วางพักไว้ บนตะแกรงจนเซ็ตตัว

5.บราวนี่



ส่วนผสม
เนย    200 กรัม
ช็อกโกแลตตำสับเป็นชิ้นเล็กๆ   250 กรัม
ลูกเกด(สีดำ)     1/2 ถ้วย
คอร์นเฟลก       4 ถ้วย
ไข่ไก่    3 ฟอง
น้ำตาลทรายแดง    1 1/4 ถ้วย
แป้งสาลี                 2 ถ้วย
ถั่วพีแคนสับ     125 กรัม
น้ำตาลไอซิ่งสำหรับโรยหน้า
วิธีทำ
1.อุ่นเตาอบให้ร้อนที่อุณหภูมิ  180 องศาเซลเซียส
2.ละลายเนยและช็อกโกแลตในกระทะใช้ไฟอ่อนๆ จนเข้ากัน
3.ผสมเนยและน้ำตาลตีให้ขึ้นฟู เติมคอร์นเฟลก แป้ง ถั่ว ใช้ไม้พายคนให้เข้ากัน ก่อนนำไปผสมกับส่วนผสมช็อกโกแลต
นำส่วนผสมใส่ถาดอบเค้กแบบเหลี่ยมขนาด 20 ซ.ม.ที่ปูด้วยกระดาษไข อบนาน 30 นาทีหรือจนกระทั่งสุก
4.เพื่อเพิ่มความอร่อยสามารถโรยหน้าด้วยคอร์นเฟลกก่อนเข้าเตาอบ  เมื่ออบเสร็จแล้วพักให้เย็นแล้วโรยหน้าด้วยไอซิ่ง
5. ตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาดพอดีคำ เสิร์ฟได้เลย หรือเก็บใส่ภาชนะปิดฝาเก็บไว้ได้นาน 7 วัน


ที่มา  http://www.foodtravel.tv/recfoodShow_Detail.aspx?viewId=1151

1.ช็อกโกแลต โรสซี Chocolate Rosey






ส่วนผสม (สำหรับ 6 ชิ้น)
อุปกรณ์ช็อกโกแลตโรสซี

1. แม่พิมพ์ (พิมพ์ซิลิโคน)
2.หม้อ 2 ใบ
3.ไม้พายยาง
4.ถาดเข้าตู้เย็น
5.มีด
6.เขียง
7.ช้อน
วัตถุดิบช็อคโกแลตโรสซี

1. เนื้อเค้กจากสูตร Little Sweet Cupcake 1/3 ของสูตร
2. ช็อคโกแลต 70% 300 กรัม
3. ไวท์ช็อคโกแลต 200 กรัม
4. พีนัทบัตเตอร์ หรือแยมตามชอบ 50 กรัม
5. สีผสมอาหารตามชอบ
วิธีทำช็อกโกแลตโรสซี

1.ละลายไวท์ช็อกโกแลต (ด้วยการตุ๋นหม้อ 2 ชั้น)
2.นำไวท์ช็อคโกแลตที่ละลายแล้วมาลองวัดอุณหภูมิให้ได้ประมาณ 27 องศาเซลเซียส
3.หยดสีลงไปตามต้องการและคนให้เข้ากัน
4.เทลงในโมลที่เตรียมไว้ เคาะไล่ฟองอากาศออก
5.นำเข้าตู้เย็น 15-20 นาที
6. เมื่อแข็งได้ที่ นำออกมาบีบพีนัทบัตเตอร์ใส่ตรงกลาง
7.วางทับด้วยเนื้อเค้กที่ตัดเป็นวงกลมขนาดเล็กกว่าโมลช็อคโกแลต ความสูงไม่วางแล้วล้นโมลขึ้นมา
8. ราดด้านบนด้วยช็อคโกแลต 70%ที่ละลายด้วยการตุ๋นหม้อ 2 ชั้น
9. นำเข้าตู้เย็นจนแข็ง ประมาณ 15-20 นาที


2.เค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม (Chocolate Fudge Cake)
สำหรับ 2 ปอนด์
เวลาในการทำ 1 1/2 ชม.
อุปกรณ์1. ไม้พาย
2. ที่ร่อนแป้ง
3. พิมพ์ 2 ปอนด์
4. มีด
5. ช้อน
6. ทัพพี
7. ตะกร้อ
ส่วนผสมเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม (Chocolate Fudge Cake)เนื้อเค้ก1. แป้งเค้ก 85 กรัม
2. ผงฟู 1/2 ช้อนชา
3. เบคกิ้งโซดา 1/4 ช้อนชา
4. กลิ่นวนิลา 1 ช้อนชา
5. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
6. ผงโกโก้ 30 กรัม
7. น้ำตาลทราย 85 กรัม
8. นม 70 กรัม
9. นมข้นจืด 20 กรัม
10. น้ำมะนาว 1 ช้อนชา
11. น้ำมันพืช 60 กรัม
12. ไข่แดง 2 ฟอง
13. ไข่ขาว 2 ฟอง
14. น้ำตาลทราย 40 กรัม
15. ครีมออฟทาท่า 1/4 ช้อนชา
ช็อกโกแลต1. ผงวุ้น 1 ช้อนชา
2. นมสด 200 กรัม
3. นมข้นจืด 200 กรัม
4. น้ำตาลทราย 150 กรัม
5. ผงโกโก้ 60 กรัม
6. แป้งข้าวโพด 40 กรัม
7. นมสด 100 กรัม
8. เนยสด 150 กรัม
9. เหล้ารัม 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำเค้กช็อกโกแลตหน้านิ่ม (Chocolate Fudge Cake)1. อุ่นเตาที่อุณหภูมิ 175 องศาเซลเซียส
2. กรุพิมพ์ขนาด 2 ปอนด์
3. ร่อนแป้งเค้ก ผงฟู เบคกิ้งโซดาและผงโกโก้
4. ใส่น้ำตาลทรายและเกลือ ในแป้งที่ร่อนแล้ว
5. นำไข่แดง กลิ่นวนิลา นม นมข้นจืด น้ำมะนาว น้ำมันพืชมาผสมและคนให้เข้ากัน
6. ผสมส่วนผสมแห้งที่พักไว้ในส่วนผสมเหลวแล้วคนให้เข้ากัน
7. ตีไข่ขาวกับครีมออฟทาท่าจนเป็นฟอง ค่อยๆใส่น้ำตาลทรายแล้วตีจนขึ้นฟูตั้งยอดอ่อน
8. ตักเมอแรงไข่ขาวลงในส่วนผสมเนื้อเค้กที่พักไว้
9. คนส่วนผสมให้เข้ากัน
10. ตักใส่พิมพ์ขนาด 2 ปอนด์
11. นำไปอบ 45 นาที
วิธีทำหน้าช็อกโกแลตนิ่ม1. ผสมผงวุ้น นมสด นมข้นจืด น้ำตาลทราย และผงโกโก้เข้าด้วยกัน
2. ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน
3. นำส่วนผสมที่เข้ากันไปตั้งไฟจนเดือด
4. ผสมแป้งข้าวโพดกับนมข้นจืดจนเข้ากันไม่เป็นเม็ด
5. เทใส่หม้อคนจนเข้ากัน (ลดไฟอ่อนลง)
6. คนไปเรื่อยๆจนส่วนผสมทั้งหมดข้นขึ้น
7. ใส่เนยและเหล้ารัม
8. คนจนละลาย
9. ปิดไฟและยกลงจากเตา






























วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ขนมไทย ๔ (ขนมวุ้น)



ที่มา http://www.ezythaicooking.com/thai_dessert_recipes.html


1.วุ้นกะทิ




เครื่องปรุง + ส่วนผสม
+ ส่วนผสมตัววุ้น +
* วุ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำเปล่า 5 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง
* น้ำใบเตย,น้ำกาแฟ หรือสีผสมอาหาร (จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้)
+ ส่วนผสมหน้าวุ้น +
* วุ้นผง 2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำมะพร้าว 2 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทรายขาว 1 ถ้วยตวง
* หัวกะทิ 2 1/2 ถ้วยตวง
* แป้งข้าวโพด 2 ช้อนโต๊ะ
* เกลือ 1 1/2 ช้อนชา
* แม่พิมพ์สำหรับใส่วุ้น (ถ้วยหรือชามเล็กๆ ก็สามารถใช้แทนกันได้)

  วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ทำตัววุ้นโดย ใส่ผงวุ้นและน้ำเปล่า ลงในกระทะทองเหลืองแล้วนำไปต้มจนผงวุ้นละลาย
 (หมายเหตุ : สามารถใส่น้ำใบเตยเพื่อทำวุ้นกะทิใบเตยหรือ น้ำกาแฟเพื่อทำวุ้นกะทิกาแฟ หรืออาจใส่ สีผสมอาหารเพื่อให้ได้สีที่ต้องการสำหรับตัววุ้น)
2. ใส่น้ำตาลทรายลงไป คนให้ละลายดีจึงหรี่ไฟเบาลง
3. ตักส่วนผสมตัววุ้นลงไปในแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้ โดยหยอดให้ได้ประมาณ 3/4 ของแบบ และปล่อยไว้ให้วุ้นจับตัวพอตึง
4. ระหว่างรอตัววุ้นแข็ง เตรียมทำหน้าวุ้นโดย ใส่ผงวุ้นและน้ำมะพร้าว ลงในกระทะทองเหลืองแล้วนำไปต้มจนผงวุ้นละลาย
5. จากนั้นจึงใส่แป้งข้าวโพด, หัวกะทิ (ประมาณ 1/2 ถ้วยตวง) และ เกลือลงไปในส่วนผสมหน้าวุ้น คนอย่างต่อเนื่องจน ส่วนผสมละลายเข้ากัน
6. ใส่หัวกะทิที่เหลือลงไป คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงนำส่วนผสมของหน้าวุ้นไปหยอดใส่พิมพ์ให้เต็มอย่างปราณีต
 (พิมพ์ต้องใส่ตัววุ้นก่อน และต้องรอจน ตัววุ้นแข็งพอตึงๆก่อน มิเช่นนั้นตัววุ้นและหน้าวุ้นจะผสมกัน)
7. เมื่อหน้าวุ้นและตัววุ้นแข็งดีแล้วก็ให้เคาะออกจากแบบ จัดใส่จานและเสริฟได้ทันที

2.ขนมวุ้นสังขยา


เครื่องปรุง + ส่วนผสม
 * วุ้นผง 10 กรัม
* น้ำลอยดอกมะลิ 450 กรัม
* น้ำตาลทราย 150 กรัม
* หัวกะทิ 100 กรัม
* ไข่ไก่ 2 ฟอง
* ใบเตย
   วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ผสมหัวกะทิกับน้ำตาลและไข่ไก่ โดยใช้ใบเตยขยำให้ส่วนผสมเข้ากัน และน้ำตาลละลาย จากนั้นนำไป กรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอาสิ่งสกปรกออก
2. ตั้งกระทะทองเหลืองบนไฟอ่อนๆ ใส่น้ำลอยดอกมะลิและวุ้นผงลงไป คนจนละลายเข้ากันดี จากนั้นจึง ใส่ส่วนผสมไข่กะทิ (ที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่ 1 ลงไป)
 เร่งไฟให้แรงขึ้น รอจนส่วนผสมเดือด คนส่วนผสม ต่อเนื่องจนวุ้นมีลักษณะเหนียวเป็นยางมะตูม จึงปิดไฟ
3. เทส่วนผสมวุ้นสังขยาลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้ให้หายร้อนสักพัก จึงใส่ตู้เย็น
4. เคาะวุ้นออกจากแบบ จัดใส่จานเสริฟ พร้อมรับประทานได้ทันที (ถ้ายังไม่รับประทาน ควรเก็บ ไว้ในตู้เย็นก่อน)

3.ขนมวุ้นมะพร้าวอ่อน


เครื่องปรุง + ส่วนผสม
 * หัวกะทิ 200 กรัม
* วุ้นผง 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำเปล่า 500 กรัม
* น้ำตาลทราย 150 กรัม
* เนื้อมะพร้าวอ่อน 50 กรัม
* น้ำมะพร้าวอ่อน 200 กรัม
 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำหัวกะทิใส่หม้อและนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ใส่เกลือลงไป คนให้ละลาย ปิดไฟทันที (อย่าให้กะทิแตกมัน)
2. ตั้งกระทะทองเหลือง (หรือใช้กระทะเทฟลอนแทนก็ได้) บนไฟร้อนปานกลาง ใส่น้ำเปล่าและวุ้นผง ลงไป รอจนเดือดใส่น้ำตาลทรายลงไป คนจนละลายจึงลดไฟลง
3. นำเนื้อมะพร้าวและน้ำมะพร้าวไปปั่นให้เข้ากัน แล้วใส่ลงในส่วนผสมวุ้น (ในข้อ 2) ใช้ไฟอ่อนๆ เคี่ยวอีก สักพัก จึงใส่กะทิที่เตรียมไว้ในข้อหนึ่งลงไป คนให้เข้ากันเสร็จึงปิดไฟ
 (หมายเหตุ : น้ำมะพร้าวอ่อนต้องหวาน เพราะเมื่อนำไปผสมทำวุ้นแล้วจะทำให้รสชาตเเปรี้ยวเหมือนวุ้นเสีย ถ้าไม่มีน้ำมะพร้าวอ่อนหวานให้ใช้น้ำลอยดอกไม้แทน)
4. เทส่วนผสมวุ้นลงในแบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ ทิ้งไว้ให้หายร้อน จึงนำเข้าไปแช่ในตู้เย็น
5. เคาะวุ้นออกจากแบบ จัดใส่จาน เสริฟเป็นของว่างในวันสบายๆ

ขนมไทย ๓ (ข้าวเหนียวมูน)



ที่มา http://www.ezythaicooking.com/thai_dessert_recipes.html


1. ข้าวเหนียวมะม่วง

 เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* มะม่วงสุก 3 ลูก
* ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
* หัวกะทิ 450 กรัม
* เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
* น้ำตาลทราย 550 กรัม
* ใบเตย 3-5 ใบ
* ถั่วทอง 5 ช้อนโต๊ะ
* หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำราด)
* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา (สำหรับทำน้ำราด)
  วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำข้าวเหนียวไปล้างและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปสะเด็ดน้ำ
2. นำผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนำข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก
3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้ำตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ
4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที
5. ในระหว่างที่รอ เตรียมทำน้ำกะทิราดหน้าโดย ผสมหัวกะทิ (2 ถ้วยตวง) และเกลือป่น (1/4 ช้อนชา) ลงในหม้อขนาดเล็ก และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนเกลือละลายทั่ว จึงปิดไฟ
6. ปอกมะม่วงและจัดใส่จาน เวลาเสริฟ ตักข้าวเหนียวใส่จานจากนั้นโรยหน้าด้วยน้ำราดกะทิและถั่วทอง ควรเสริฟทันทีหลังจากปอกมะม่วงเสร็จใหม่ๆ

2. ข้าวเหนียวดำ


เครื่องปรุง + ส่วนผสม
  * ข้าวเหนียวดำ 1/2 ถ้วยตวง
* เผือกหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำเปล่า 3 1/2 ถ้วยตวง
* หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง
* น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง
(ปรับได้ตามความหวานที่ต้องการ)
    วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำข้าวเหนียวดำไปล้างทำความสะอาด แล้วจึงใส่หม้อและใส่น้ำเปล่าลงไป ต้มทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที คนเป็นระยะๆ จนข้าวเหนียวสุก
2. ระหว่างรอข้าวเหนียวสุก นำเผือกมาปอกเปลือกและหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วนำไปนึ่งจนสุก ทิ้งไว้ให้เย็น
3. เมื่อข้าวเหนียวสุก เติมหัวกะทิ (เหลือหัวกะทิไว้นิดหน่อยเพื่อราดหน้าตอนเสริฟ) น้ำตาลและเผือกนึ่ง ต้มต่อไปอีกประมาณ 5 นาที
4. ตักใส่ถ้วย ราดหน้าด้วยน้ำกะทิ และเสริฟเป็นของว่างได้ทันทีขณะยังร้อน หรือเสริฟขณะเย็นแล้วก็ได้

3. ข้าวเหนียวมูน
  
เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม
* หัวกะทิ 450 กรัม
* เกลือป่น 3/4 ช้อนชา
* น้ำตาลทราย 550 กรัม
* ใบเตย 3-5 ใบ
* ถั่วทอง 5 ช้อนโต๊ะ
* น้ำใบเตย, น้ำแครอท, น้ำดอกอัญชัญหรือสีผสมอาหารตามชอบ
 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำข้าวเหนียวไปล้างทำความสะอาดและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปสะเด็ดน้ำ (กรณีต้องการทำข้าวเหนียวที่มีสีต่างๆ ก็ให้ใส่สีลงไปในน้ำที่แช่ค้างคืนไว้ด้วย)
2. นำผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนำข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก
3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้ำตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ
4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที
ก็สามารถนำไปเสริฟได้ (เวลาเสริฟอาจโรยหน้าด้วยถั่วทอง)
หมายเหตุ : ข้าวเหนียวมูนสามารถนำไปทานกับมะม่วงสุก หรือทานกับสังขยา, หรือทานเป็นข้าวเหนียวมูนหน้ากุ้ง + หน้าปลาแห้ง และอื่นๆ

 4.ข้าวเหนียวมูนหน้ากุ้ง


 เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* กุ้งสด 100 กรัม
* มะพร้าวขาวขูดฝอย 80 กรัม
* รากผักชีหั่นฝอย 1 ช้อนโต๊ะ
* พริกไทยเม็ด 1/2 ช้อนชา
* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
* น้ำตาลทราย 50 กรัม
* ใบมะกรูด 5 ใบ (ซอยละเอียดเป็นเส้นๆ)
* สีผสมอาหารสีส้ม
* ส่วนผสม + วิธีทำข้าวเหนียวมูน
  วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ทำความสะอาดกุ้ง ปอกเปลือกออก ผ่าหลังและเอาเส้นสีดำออก จากนั้นจึงนำไปสับพอหยาบ
2. นำรากผักชีกับพริกไทยไปโขลกให้ละเอียด
3. ผสมมะพร้าวขูดขาวกับสีผสมอาหาร (2-3 หยดก็พอ) คลุกให้สีผสมกันทั่วกับมะพร้าว
4. ใส่น้ำมันลงในกระทะและนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ใส่รากผักชี+พริกไทยที่โขลกเตรียมไว้ในขั้นตอนที่สอง ลงไปผัดจนหอม จากนั้นจึงใส่กุ้งสับ, น้ำตาลทรายและ เกลือลงไปผัดต่อ ผัดจนกุ้งสุกและน้ำตาลละลายดี จึงปิดไฟ
5. เวลาเสริฟ ตักข้าวเหนียวมูนใส่จาน เติมหน้ากุ้งลงไปบนข้าวเหนียวมูนและโรยหน้าด้วยใบมะกรูดฝอย

5. ข้าวเหนียวสังขยา


เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* ไข่เป็ด 2 ฟอง
* กะทิ 100 กรัม
* น้ำตาลปึก 100 กรัม
* ใบเตย
* ส่วนผสม + วิธีทำข้าวเหนียวมูน
 วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำไข่เป็ดผสมกับกะทิและน้ำตาล คนจนส่วนผสมเข้ากันดีและน้ำตาลละลาย หลังจากนั้น ใช้ใบเตยขยำให้ส่วนผสมขึ้นฟู เสร็จแล้วกรองด้วยผ้าขาวบางเอาสิ่งสกปรกออก
2. นำส่วนผสมเทใส่แบบหรือพิมพ์ที่เตรียมไว้ แล้วนำไปนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 20 นาทีหรือจนสุกทั่ว ปิดไฟ นำออกมาทิ้งไว้ให้เย็น
3. เวลาเสริฟ ตักข้าวเหนียวมูนใส่จาน เติมหน้าสังขยาลงไปบนข้าวเหนียวมูนพร้อมเสริฟเป็นของว่างได้ทันที



















ขนมไทย ๒ (ขนมเชื่อม)



ที่มา http://www.ezythaicooking.com/thai_dessert_recipes.html


1.ฟักทองเชื่อ

 เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* ฟักทอง 500 กรัม
* น้ำตาลทราย 250 กรัม
* น้ำเปล่า 450 กรัม
* น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำกะทิ 100 กรัม
* เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
* แป้งข้าวเจ้า 1/2 ช้อนโต๊ะ
* น้ำปูนใส
วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำฟักทองไปทำความสะอาด และหั่นเป็นชิ้นๆ (จะปอกเปลือกหรือไม่ปอกก็ได้ แล้วแต่ความชอบ) เสร็จแล้วนำไปแช่น้ำปูนใสประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นจึงนำขึ้นมาล้างน้ำและผึ่งให้แห้ง
2. ทำน้ำราดกะทิ โดยใส่น้ำกะทิ, แป้งข้าวเจ้าและเกลือลงในหม้อเล็ก ตั้งบนไฟอ่อนๆจนเข้ากันดี ปิดไฟและพักไว้
3. ใส่น้ำเปล่า, น้ำตาลทรายและน้ำมะนาวลงในกระทะทองเหลือง (หรือใช้กระทะเทฟลอนแทนก็ได้) นำไปตั้งไฟร้อนปานกลางรอจนน้ำตาลละลาย จึงใส่ฟักทองลงไปเชื่อมจนสุก จะมีลักษณะเงา ฉ่ำใส จึงปิดไฟ
4. ตักฟักทองใส่ถ้วยและราดหน้าด้วยกะทิ เสริฟได้ทันที

2.มันสำปะหลังเชื่อม


เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* มันสำปะหลัง 800 กรัม
* น้ำเปล่า 1000 กรัม
* น้ำตาลทราย 300 กรัม
* น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
* หัวกะทิ 100 กรัม
* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
* แป้งข้าวเจ้า 1/2 ช้อนชา
  วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ทำความสะอาดมันสำปะหลัง ปอกเปลือกและหั่นเป็นท่อนๆ
2. นำกระทะทองเหลืองไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง ใส่น้ำเปล่าลงไปต้ม รอเดือดจึงใส่มันสำปะหลังลงไปต้ม
3. ต้มจนมันสำปะหลังเกือบสุก ใส่น้ำตาลทรายและน้ำมะนาวลงไป กลับข้างไปมาอย่างระมัดระวัง เชื่อมจนมันสุกทั่ว (ผิวจะฉ่ำน้ำตาล และใส เป็นเงา) จึงปิดไฟ
4. ทำน้ำราดกะทิ โดยใส่น้ำกะทิ, แป้งข้าวเจ้าและเกลือลงในหม้อเล็ก ตั้งบนไฟอ่อนๆจนเข้ากันดี ปิดไฟและพักไว้
5. ตักมันสำปะหลังเชื่อมใส่จานเสริฟ ราดหน้าด้วยน้ำกะทิ รับประทานได้ทันทีี
















ขนมไทย ๑ (กล้วย)




1.กล้วยบวดชี



ขนมหวานไทย : กล้วยบวดชี


ส่วนผสม

* กล้วยน้ำว้า 8 ลูก (เลือกห่ามๆ ไม่สุกมาก)
* หัวกะทิ 450 มิลลิลิตร
* หางกะทิ 500 มิลลิลิตร
* ใบเตย 2 ใบ
* น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม
* น้ำตาลทรายขาว 40 กรัม
* เกลือ
วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำกล้วยไปนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 3-5 นาที หรือนึ่งจนกระทั่งผิวกล้วยเริ่มแตกออก จึงปิดไฟและนำออกมาปอกเปลือกและหั่นครึ่งลูก จากนั้นจึงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
2. นำหางกะทิไปต้มในหม้อและใส่ใบเตยลงไปด้วย เมื่อเดือดแล้วจึงใส่กล้วยที่หั่นไว้แล้วลงไป ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ, น้ำตาลทรายขาวและเกลือนิดหน่อย
3. เมื่อกะทิเริ่มเดือดอีกครั้งจึงใส่หัวกะทิลงไป และปล่อยทิ้งไว้ให้เดือดอีกประมาณ 3 นาที ถ้าต้องการให้น้ำข้นเหนียวก็ให้ใส่แป้งมันลงไปประมาณ 1 ช้อนชาและคนให้ละลายทั่ว
4. อย่าต้มนานจนเกินไปเพราะจะทำให้กล้วยเละ กล้วยควรจะยังแข็งนิดหน่อย จากนั้นตักใส่จานและเสริฟทันที
(สำหรับ 2 ท่าน)


2.ขนมกล้วย

เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* กล้วยน้ำว้า 8 - 10 ลูก (ปอกเปลือกและบดให้เละ)
* แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
* แป้งมัน 1/4 ถ้วยตวง
* น้ำตาล 1 1/4 ถ้วยตวง
* เกลือป่น 1/2 ช้่อนชา
* หัวกะทิ 1/2 ถ้วยตวง
* เนื้อมะพร้าวขูด 2 ถ้วยตวง


วิธีทำทีละขั้นตอ
1. นำกล้วย, แป้งข้าวเจ้า, แป้งมัน, น้ำตาล, เกลือ, หัวกะทิ และ เนื้อมะพร้าวขูด (ประมาณ 3/4 ส่วนของทั้งหมด) ผสมกัน จากนั้นนวดด้วยมือจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
2. ตักส่วนผสมในข้อหนึ่งลงในถ้วยหรือแบบที่ต้องการ หรือจะใช้ใบตองห่อก็ได้ แล้วแต่ความสะดวก เสร็จแล้วนำเนื้อมะพร้าวขูดที่เหลือโรยหน้า
3. นำไปนึ่งประมาณ 30 นาที หรืออาจนำไปอบโดยใช้ความร้อนประมาณ 180 องศาเซลเซียส (360 องศาฟาเรนไฮต์) เป็นเวลา 30 นาทีเช่นกัน
4. เมื่อขนมกล้วยสุกแล้ว ให้นำออกจากแบบ สามารถเสริฟได้ทั้งขณะร้อนหรือเย็นแล้ว




3.กล้วยทอด


เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* กล้วยน้ำว้าห่าม 1 หวี
* แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
* แป้งสาลี 1/4 ถ้วย
* เกลือ 1/2 ช้อนชา
* ผงฟู 1 ช้อนชา
* งาขาวคั่ว (ปริมาณตามความชอบ)
* มะพร้าวขูดขาว 1/2 ถ้วย
* น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วยตวง
* หัวกะทิ 1/2 ถ้วย
* น้ำปูนใส 1/4 ถ้วย
* ใบเตย 3-5 ใบ
* น้ำมันสำหรับทอด


วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. นำกล้วยมาปอกเปลือกและหั่นตามยาวเป็นชิ้นบางๆ หนึ่งลูกควรหั่นให้ได้อย่างน้อย 3 ชิ้น
2. นำแป้งข้าวเจ้า, แป้งสาลี, เกลือ, ผงฟู, น้ำตาลปี๊บ, งาขาว, มะพร้าวขูด, น้ำปูนใสและหัวกะทิ ผสมเข้าด้วยกันในชามขนาดใหญ๋ คนจนแป้งและน้ำตาลละลายดี ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
3. ใส่น้ำมันลงในกระทะ และนำไปตั้งบนไฟค่อนข้างแรง รอจนน้ำมันเดือด จึงใส่ใบเตยลงไปทอดก่อนให้น้ำมันหอม
4. นำกล้วยที่หั่นเตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่งชุบแป้งแล้วนำไปลงทอดจนเหลืองสุกและกรอบ จึงตักออกมาสะเด็ดน้ำมัน
5. เรียงจัดใส่จาน และเสริฟเป็นของว่างทานเล่น